วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ข้อมูลและสารสนเทศ

 

            ดังที่กล่าวมาแล้วว่าการทำงานใด ๆ ที่ได้ผลดีจำเป็นต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องครอบคลุมและตรงประเด็นประกอบการตัดสินใจในการเลือกวัตถุดิบ  เนื้อหาสาระ บุคลากร  และวิธีการปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม  โดยการจำแนกแจกแจง  จัดหมวดหมู่และการประมวลผลข้อมูลที่เกี่ยวข้องทุกด้าน อย่างเป็นระบบที่เรียกว่าสารสนเทศ จึงนับได้ว่าข้อมูลและสารสนเทศ มีประโยชน์ต่อการดำเนินงานของบุคคลและหน่วยงาน

 

1. ข้อมูล (data)

            ข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริงที่ปรากฏให้เห็นเป็นประจักษ์สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า ทั้งที่สามารถนับได้และนับไม่ได้ มีคุณลักษณะเป็นวัตถุสิ่งของ เหตุการณ์หรือสถานการณ์ ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น และต้องเป็นสิ่งมีความหมายในตัวมันเองซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของรูปภาพ  แสง  สี เสียง  รส  นอกจากนี้ข้อเท็จจริงอาจจะอยู่ในรูปของคุณสมบัติเป็นน้ำหนัก  แรง  อุณหภูมิ จำนวน ซึ่งสามารถแทนค่าด้วยตัวเลข  ตัวอักษรข้อความก็ได้ อย่างไรก็ตามข้อมูลที่นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์มีหลายระดับตั้งแต่ข้อมูลเบื้องต้นหรือข้อมูลดิบจนถึงข้อมูลสารสนเทศ   ซึ่งแต่ละอย่างมีความหมาย  ดังนี้

       ข้อมูลดิบ  (raw data)  หมายถึง  วัตถุสิ่งของ  เหตุการณ์  สถานการณ์  ที่มีคุณลักษณะหรือคุณสมบัติอยู่ในสภาพเดิม  มีความอิสระเป็นเอกเทศในตัวมันเอง  ยังไม่ผ่านการกลั่นกรอง  ไม่ได้ถูกนำไปแปรรูปหรือประยุกต์ใช้กับงานใดๆ การตีความข้อมูลดิบเกิดจากพฤติกรรมการรับรู้การเรียนรู้หรือประสบการณ์ในการสังเกต  การวัด  การนับ การสัมผัสจับต้อง หรือกรรมวิธีอื่นๆ จนสามารถระบุได้ชัดเจนว่าข้อมูลนั้นมีคุณลักษณะหรือคุณสมบัติเป็นอย่างไร มีชื่อเรียกว่าอะไร

 

          ข้อมูลดิบทุกชนิดที่อยู่ล้อมรอบตัวเรามีจำนวนมากมายมหาศาลแต่ละชนิดล้วนมีศักยภาพและความสำคัญในตัวมันเองทั้งสิ้น แต่ข้อมูลดิบบางชนิดอาจจะไม่จำเป็นไม่มีประโยชน์สำหรับบุคคลบางคน บางกลุ่ม บางงาน หรือบางสถานการณ์ ดังนั้นการนำข้อมูลดิบไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดจึงขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณในการวิเคราะห์องค์ประกอบต่างๆที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้านผสมผสานอย่างสอดคล้องกับเนื้อหาสาระ วัตถุประสงค์ และธรรมชาติของบุคลากร

 

             ข้อมูลดิบที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติถูกต้อง (accurate) ต้องปรากฏให้เห็นอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ไม่ใช่ภาพลวงตาหรือความคิดเพ้อฝันตามจินตนาการ  มีคุณลักษณะเฉพาะที่ชัดเจนแน่นอนสามารถระบุได้ว่าสิ่งนั้น คือ อะไร  เช่น ก้อนหิน  ต้นไม้  ท่อนฟืน  ต้นข้าว  ฟาง  น้ำ  น้ำร้อน  น้ำเย็น  ทราย  จาน  ชาม  ถ้วย  บ้าน  วัด เสียงนก  เสียงคน  พายุ  ลม  ฝน  หนัก เบา ฯลฯ ดังนั้น  ข้อมูลที่ดีต้องมีคุณสมบัติชัดเจนปราศจากข้อสงสัยในการตีความ 

 

6.2 สารสนเทศ (informational)

           สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลที่ผ่านการกลั่นกรองโดยการจำแนกแจกแจง จัดหมวดหมู่ การคำนวณและประมวลผลแล้ว สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพต่อไปได้ อย่างไรก็ตามสารสนเทศที่ประกอบด้วยเนื้อหาสาระพื้นฐานทั่วไปอาจกลายเป็นข้อมูลสำหรับงานสารสนเทศขนาดใหญ่ที่มีความสลับซับซ้อนก็ได้ ข้อมูลดังกล่าวจึงเรียกว่า ข้อมูลสารสนเทศ (informational data) ดังนั้นการตีความในความหมายของสารสนเทศจึงมีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับคุณลักษณะเฉพาะของแต่ละงานว่ามีการเชื่อมโยงสัมพันธ์กับองค์ประกอบต่าง ๆ อย่างกว้างขวางหรือซับซ้อนมากน้อยเพียงใด หากมีความซับซ้อนมากสารสนเทศเบื้องต้นก็จะกลายเป็นข้อมูลสารเทศของงานสารสนเทศขนาดใหญ่หรือสารสนเทศขั้นสูงต่อไปตามลำดับ

 

6.2.1 คุณสมบัติของข้อมูลสารสนเทศที่ดี

ข้อมูลสารสนเทศที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติดังนี้

          1)  ความถูกต้อง (accurate) ข้อมูลสารสนเทศที่ดีต้องแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงสัมพันธ์ขององค์ประกอบที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง  ไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง สามารถอ้างอิงได้จากแหล่งข้อมูลอื่นโดยเฉพาะข้อมูลดิบ สามารถแสดงขั้นตอนหรือกระบวนการด้วยสื่อที่เหมาะสม เช่น ตัวอักษรข้อความ  รูปภาพ  แผนภูมิ  แผนภาพ  ภาพเคลื่อนไหว  แสง  สี เ สียง  เป็นต้น  ดังนั้นข้อมูลสารสนเทศที่ดีต้องมีคุณสมบัติถูกต้องชัดเจนปราศจากข้อสงสัยในการตีความ  สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการตัดสินใจได้อย่างสะดวกรวดเร็ว

 

           2)  ทันเวลา (timeliness) ข้อมูลสารเทศต้องมีลักษณะเป็นปัจจุบันเสมอ สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ท่วงทันเวลาและเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีการบันทึกและจัดเก็บข้อมูลในอดีตที่ผ่านมาอย่างเป็นระบบให้เป็นหมวดหมู่ สามารถสืบค้นได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว

 

            3)  สอดคล้องกับงาน (relevance) ข้อมูลสารสนเทศต้องสอดคล้องและครอบคลุมกับงานที่กำลังดำเนินการอยู่ ไม่ใช่ข้อมูลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง

 

            4)  สามารถตรวจสอบได้ (verifiable) ข้อมูลสารสนเทศที่ดีต้องสามารถตรวจสอบได้ว่าถูกต้อง น่าเชื่อถือหรือไม่ สามารถอ้างอิงและตรวจสอบได้

 

           5)  มีความสมบรูณ์ครบถ้วน (integrity) ข้อมูลสารสนเทศที่ดีจะต้องมีเนื้อหาสาระรวมถึงขั้นตอนและกระบวนการหรือวิธีการครอบคลุมการดำเนินงานโดยรวม

 

1.2.2 ชนิดของข้อมูล

            ข้อมูลมีหลายชนิดขึ้นอยู่กับเกณฑ์ในการจำแนก ในที่นี้จำแนกข้อมูลตามลักกษณะการจัดเก็บซึ่งแบ่งออกเป็น  4 ชนิด   คือ

 

            1)    ข้อมูลที่เป็นตัวเลข (Numeric type) ใช้ระบุความหมายของสิ่งต่าง ๆ ในเชิงปริมาณ เช่น ราคาสินค้า จำนวนสิ่งของ ความสูง โดยระบุเป็นตัวเลขเท่านั้น เช่น 15.75 (บาท) 1,750 (กล่อง) 175.3 (ซ.ม.) 10111000 (เลขฐานสอง เท่ากับ 184 ของเลขฐานสิบ)  เป็นต้น

 

            2)  ข้อมูลที่เป็นตัวอักขระ (Character type) ใช้บรรยายความหมายหรือแทนข้อมูลบางอย่าง  เช่น  รถยนต์  เกวียน  น.ส . ศรีสมร  เป็นต้น

 

            3)  ข้อมูลที่เป็นตัวอักษรเลข (Alphanumeric type) หมายถึงมีทั้งตัวอักษร ตัวเลข และตัวสัญลักษณ์พิเศษ (เช่น !,.?%$#@-+) ปนกัน ใช้บรรยายหรือสื่อความหมายต่างๆ ได้ตามแต่จะกำหนด เช่น A4 $500.00

 

            4)  ข้อมูลมัลติมีเดีย  (multimedia) หรือสื่อประสม  เช่น  ภาพ  เสียง  ข้อความ  ปนกัน เป็นต้น เป็นข้อมูลอีกประเภทหนึ่งที่กล่าวถึงกันมาก แต่ความจริงแล้วข้อมูลชนิดนี้ถูกจักเก็บในคอมพิวเตอร์ในรูปของข้อมูลประเภทใดประเภทหนึ่งในสามประเภทแรก

 

         สรุปได้ว่า  สารสนเทศ  คือ  ข้อมูลที่ถูกกลั่นกรองด้วยวิธีการต่าง ๆ  เพื่อให้มีคุณค่าและมีความหมายต่อการประยุกต์ใช้งานสำหรับบุคคลหรือองค์กร สารสนเทศอาจอยู่ในรูปของภาพ แสง สี เสียง รูปร่าง รูปทรง ตัวเลข ตัวอักษรข้อความ ฯลฯ ผู้ใช้สามารถนำไปใช้ได้อย่างสะดวกสบายและรวดเร็ว ประโยชน์และคุณค่าของสารสนเทศจะนำไปสู่ “ความรู้” ที่มีประโยชน์ต่อไป

 

6.3 ความรู้ (Knowledge)

            ความรู้ เป็นสภาวะทางสติปัญญาของมนุษย์ในการตีความสิ่งเร้าทั้งที่อยู่ภายในและภายนอกด้วยความเข้าใจสาระของเนื้อหา กระบวนการ และขั้นตอน อาจอยู่ในรูปของข้อมูลดิบหรือสารสนเทศระดับต่าง ๆ หรืออาจอยู่ในรูปของอารมณ์ความรู้สึกและเหตุผล คุณสมบัติของความรู้อาจให้ทั้งประโยชน์และโทษต่อตนเอง สังคม และสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์จำเป็นต้องกำกับด้วยสติปัญญา ทุกยุคทุกสมัยทั้งในอดีตปัจจุบันและอนาคต “ความรู้” มีความสำคัญต่อมนุษย์ สังคม และสิ่งแวดล้อมเสมอ มนุษย์ใช้ความรู้ในการแก้ปัญหา การสร้างสรรค์ผลงาน และการจัดการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมแบบยั่งยืน เพื่อให้มนุษย์และประชาคมโลกได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขโดยทั่วหน้า อย่างไรก็ตามกระแสโลกาภิวัตน์ที่แผ่ขยายไปทั่วทุกมุมโลก นำพาความรู้และเทคนิคต่าง ๆ ทำให้สังคมยุคใหม่นี้ได้ชื่อว่า สังคมแห่งความรู้ (knowledge Society) โดยแสดงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล สารสนเทศ ความรู้ และกิจกรรมต่างๆ ทั้งฝ่ายผู้ผลิตข้อมูลและผู้บริโภคสารสนเทศจึงเป็นสิ่งที่น่าศึกษา  เพื่อให้ทราบว่าเราจะสร้างองค์ความรู้จากข้อมูลและสารสนเทศอย่างไร

 

10-8-2011 10-31-50 AM

ภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสารสนเทศและข้อมูล

 

            จากแผนภาพแสดงถึงแหล่งผลิตข้อมูล ซึ่งอาจเกิดจากธรรมชาติหรือกระบวนการที่มนุษย์สร้างขึ้น ข้อมูลอาจได้มาโดยการสร้าง  การค้นพบ  การรวบรวม  และการจัดเก็บ  เมื่อผ่านการประมวลแล้วก็จะกลายเป็นสารสนเทศ ซึ่งต้องมีการจัดการสารสนเทศ (Information Management) เช่น  การจัดระบบสารสนเทศ  การสื่อสาร  การนำเสนอสารสนเทศ  เพื่อสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้  เมื่อนำสารสนเทศไปใช้งานก็จะเกิดองค์ความรู้ ซึ่งเป็นสุดยอดของประโยชน์ที่ได้จากระบบจัดการสารสนเทศการสร้างความรู้จากสารสนเทศจะต้องมีการแปรความ  ประเมินผล จัดเก็บ และการนำสารสนเทศหลายรูปแบบมาผสมผสานกับความรู้ที่มีอยู่เดิม ทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ ๆ ได้อีกมากมาย

 

            ในรูปที่มีลูกศรเส้นทึบ  แสดงว่าเมื่อมีการจัดการที่ดี  ข้อมูลจะถูกแปรไปเป็นสารสนเทศและความรู้  ส่วนลูกศรเส้นประแสดงว่าเราอาจใช้ความรู้ย้อนไปสร้างสารสนเทศและข้อมูลใหม่ๆ ได้เช่นกัน  วงรีสองวงที่ล้อมอยู่และทาบทับกันตรงกลาง  แสดงว่ามีขอบเขตงานที่ทับซ้อนกัน คือ มีงานของฝ่ายผลิตข้อมูลและสารสนเทศ แ ละกลุ่มผู้บริโภคข้อมูลและสารสนเทศ  กลุ่มผู้บริโภคเป็นผู้นำสารสนเทศไปใช้ให้เกิดความรู้  จึงเห็นได้ว่า  สารสนทศเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งกลุ่มผู้ผลิตและผู้บริโภค  ทั้งสองฝ่ายจึงต้องทำงานให้สอดคล้องและประสานกัน  จึงจะเกิดคุณประโยชน์สูงสุด

 

6.4 การประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ

         การสร้างสารสนเทศได้ต้องอาศัยกระบวนการรวบรวมและการประมวลผลโดยมีวิธีการจัดการดังนี้

 

      6.4.1 ขั้นตอนการประมวลผลข้อมูล (Data processing steps) เนื่องจากข้อมูลในโลกนี้มีมากมายหลายชนิดดังกล่าวแล้ว การจะหาข้อมูลที่ดีได้ จะต้องมีการประมวลผลตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่เหมาะสม ดังนี้

 

            1) การรวบรวมข้อมูล (Data collection) หมายถึงการเก็บข้อมูลจำนวนมากจากแหล่งกำเนิด (capturing) มาทำการเข้ารหัส (Coding) ในรูปที่เหมาะสมต่อการจัดเก็บ  และการบันทึก (recording)  ในสื่อที่สามารถเก็บข้อมูลไว้ได้นาน ๆ  เช่น  จดบันทึกในกระดาษ  รวบรวมแฟ้ม  เก็บเข้าตู้ หรือบันทึกลงจานแม่เหล็กโดยระบบคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ ต้องทำการตรวจสอบแก้ไข (validating and editing) ข้อมูลที่ได้ก่อนนำไปเก็บ  เพื่อให้ข้อมูลที่ครบถ้วน และถูกต้องแม่นยำอย่างแท้จริง

 

            2)  การบำรุงรักษาและประมวลผลข้อมูล (Data Maintenance Processing) เป็นกระบวนการเก็บรักษาข้อมูลไว้ให้ใช้ได้ตลอดไป ซึ่งอาจประกอบด้วยปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยตลอดเวลา (updating)  ทำการแยกประเภท  (classifying)  จัดเรียงข้อมูล  (sorting)  และคำนวณหาข้อมูลใหม่จากข้อมูลที่มีอยู่แล้ว  (calculating)  เพื่อให้ใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น

 

            3)  การจัดการข้อมูล (Data Management) คือการสร้างระบบจัดการข้อมูลจำนวนมาก ให้สามารถนำมาใช้งานได้อย่างรวดเร็วทันเวลา  ซึ่งประกอบด้วยการจัดเก็บไว้ในแฟ้มข้อมูลอย่างเป็นระบบ  ทั้งแบบแฟ้มกระดาษหรือแฟ้มในคอมพิวเตอร์  การสร้างฐานข้อมูล  คือระบบเก็บข้อมูลขนาดใหญ่  ที่มีการจัดระบบบำรุงรักษาไม่ให้ผิดเพี้ยนหรือสูญหาย  และการสร้างระบบค้นหาข้อมูล  (retrieving)  อย่างมีประสิทธิภาพ  สามารถสืบค้นได้เร็ว  และมีข้อมูลสะสมให้เลือกใช้มากมาย  การจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ  เริ่มต้นที่การสร้างฐานข้อมูล  (Database)  ซึ่งจะต้องออกแบบให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ปัจจุบันนี้มีซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมสำเร็จรูปที่สามารถจัดการข้อมูลที่อยู่ในฐานข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรียกว่า ระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System) ซึ่งมีทั้งชนิดสำหรับฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่ใช้ร่วมกันทั้งองค์กร  เช่น Oracle และชนิดสำหรับฐานข้อมูลขนาดเล็ก  เช่น  Microsoft Access  เป็นต้น

 

           4)  การควบคุมข้อมูล (Data Control) เป็นการป้องกันรักษาข้อมูลที่จัดเก็บไว้แล้วให้ปลอดภัย  ไม่ให้ข้อมูลที่มีค่าถูกขโมยไปใช้งานอย่างไม่ถูกต้อง  รวมทั้งหามาตรการในการประกันข้อมูลความปลอดภัยของข้อมูล ให้ถูกต้องแม่นยำ ไม่มีการดัดแปลงแก้ไขอย่างผิด ๆ ทำความสมบูรณ์ถูกต้องของข้อมูลให้คงอยู่ตลอดไป

 

           5)  การสร้างสารสนเทศ (Information Generation) เป็นการตีความหมายของข้อมูลที่ได้มาแล้ว ค้นหาความหมายหรือความสำคัญที่มีคุณค่าของข้อมูลที่ได้โดยการนำไปประมวลผลด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง  เช่น  การคำนวณ  การเรียงข้อมูล  (sorting)  การค้นหา (searching)  และการแยกประเภท  จากนั้นนำมาสรุป  ตีความหมาย  อธิบายความหมาย  และรวบรวมเอาไว้  ซึ่งจะได้สิ่งที่เรียกว่า  สารสนเทศ  และจะต้องมีการจัดทำรายงานเกี่ยวกับสารสนเทศที่ค้นพบหรือที่สร้างขึ้น รวมทั้งทำการเผยแพร่ สื่อสารข้อมูลและสารสนเทศ ไปกับผู้ที่เกี่ยวข้อสนใจในคุณค่าของสารสนเทศนั้น  เช่นนี้จึงจะเกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ

 

         6.4.2 วิธีการเก็บข้อมูล (Data Collection Methods) ข้อมูลอาจเกิดขึ้นได้เองหรือ  เกิดจากการสร้าง  การทดลอง และการประมวลผลก็ได้ เมื่อต้องการได้ความรู้ หรือต้องการทราบความหมายหรือคุณค่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราต้องเก็บข้อมูลของสิ่งนั้น เพื่อนำมาประมวลผลให้เป็นสารสนเทศ  วิธีการเก็บข้อมูลสามารถทำได้หลายวิธี  ตัวอย่างเช่น  การสำรวจด้วยแบบสอบถาม การสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือเป็นเจ้าของข้อมูล  การนับจำนวน หรือวัดขนาดด้วยตนเอง หรือโดยใช้อุปกรณ์อัตโนมัติ

 

            1)  การสำรวจด้วยแบบสอบถาม  ในการสำรวจข้อมูลความคิดเห็น  อาจจำเป็นต้องทำแบบสอบถาม  เพื่อให้ง่ายต่อการตอบและรวบรวมข้อมูล  ดังตัวอย่าง  แบบสอบถามความนิยมของผู้ใช้บริการสำนักวิทยบริการ  ในแผนภาพด่านล่าง

2) การสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง  หรือเป็นเจ้าของข้อมูล  อาจใช้วิธีเก็บข้อมูลด้วยการแจกแบบสอบถามให้กับกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการทราบข้อมูล  ผู้ตอบจะเขียนตอบหรือไม่ก็ได้  ในทางปฏิบัติพบว่าแบบสอบถามที่แจกไปจะได้รับตอบกลับมาเพียงประมาณ 10% เท่านั้น  จึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างต่ำ  นอกจากนี้ในบางกรณีแบบสอบถามอาจไม่เหมาะสม  เพราะคำถามบางคำถามไม่มีความชัดเจนเพียงพอ  ผู้ตอบแต่ละคนอาจมีความเข้าใจไม่ตรงกัน  การเก็บข้อมูลโดยวิธีสัมภาษณ์จะแก้ไขจุดบกพร่องเหล่านี้ได้  โดยผู้เก็บข้อมูลออกไปสัมภาษณ์แหล่งข่าว  หรือแหล่งข้อมูลเอง  หรือถ้าต้องการข้อมูลจำนวนมาก  ก็จ้างคนหลาย ๆ คน ไปสัมภาษณ์ก็ได้ ซึ่งจะต้องเตรียมหัวข้อที่จะสัมภาษณ์ให้ดี ตรงเป้าหมายที่ต้องการให้มากที่สุด ในบางกรณีที่ถูกสัมภาษณ์ไม่เข้าใจคำถาม ผู้สัมภาษณ์ต้องสามารถอธิบายให้ชัดเจนได้

 

10-8-2011 10-39-16 AM

ภาพแสดง  ตัวอย่างแบบสอบถามการใช้บริการของสำนักวิทยบริการ

 

            3)   การนับจำนวนหรือวัดขนาดของตนเอง  หรือโดยใช้อุปกรณ์อัตโนมัติ  ข้อมูลบางอย่างจำเป็นต้องมีผู้ที่เกี่ยวข้องไปนับหรือวัดด้วยตนเอง  เช่น  จำนวนต้นไม้ในป่า  ความสูงของต้นไม้ ความสูงของนักเรียน  จำนวนปลาในบ่อเลี้ยงปลา  เป็นต้น

           ในการเก็บข้อมูลทางวิทยาศาสตร์  อาจต้องมีเครื่องมือวัดพิเศษเข้าช่วย เช่น เครื่องวัดความเข้มของแสง  เครื่องวัดแรงดัน  เครื่องวัดอุณหภูมิ  เครื่องวัดความชื้น  โดยเครื่องมือเหล่านี้  มีอุปกรณ์พิเศษ  เป็นตัวรับรู้ปริมาณของสิ่งที่ต้องการวัด  เรียกว่า  ตัวตรวจจับสัญญาณ  หรือ  เซนเซอร์ (sensors)  หรือทรานซดิวเซอร์  (transducers)  อุปกรณ์เหล่านี้จะแปลงปริมาณความร้อน  หรือความเข้มของแสง  ออกมาเป็นพลังงานไฟฟ้า  ซึ่งจะให้ค่าการวัดไฟฟ้า  เช่น  แรงดันไฟฟ้า  ความต้านทานไฟฟ้า  ที่สัมพันธ์กับค่าที่ต้องการวัด จากนั้นภายในเครื่องมือวัดก็จะมีสิ่งที่แปรผลที่ได้จากตัวจับสัญญาณออกมาเป็นตัวเลขหรือสิ่งอื่นที่มนุษย์เข้าใจความหมายได้   ตัวอย่างตัวตรวจจับสัญญาณ

 

10-8-2011 10-41-36 AM

ภาพแสดงแอลดีอาร์ (LDR-Light Dependent Resistor)

เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เปลี่ยนความต้านทานของการไหลของกระแสไฟฟ้าตามความเข้มของแสง

โดยมีความต้านทานลดลงถ้าแสงมากขึ้น ถือว่าเป็นเซ็นเซอร์ที่ใช้เก็บข้อมูลความเข้มของแสง

 

 

10-8-2011 11-22-10 AM

ภาพแสดง เทอร์มิสเตอร์ (Thermistor)

เป็นอุปกรณ์อิกเล็กเทอร์นิกส์ที่เปลี่ยนความต้านทาน

ต่อการไหลของกระแสไฟฟ้าตามอุณหภูมนิยมใช้เก็บข้อมูลของอุณหภูมิ

 

10-8-2011 11-22-39 AM

ภาพแสดงฟอสเซนเซอร์ (Force Sensor) และเพรสเซอร์เซนเซอร์(Pressure Sensor)

คือตัวตรวจจับแรงกดหรือความดันจากอากาศหรือน้ำ

ทำจากสารกึ่งตัวนำที่สร้างเป็นตัวต้านทานปิเอโซ ซึ่งจะเปลี่ยนความต้านทานเมื่อถูกกด

 

10-8-2011 11-22-59 AM

ตัวตรวจจับความชื้น (Humidity Sensor) มีวงจรรวมภายในตัว

ใช้ตรวจความชื้นโดยใช้หลักการของตัวเก็บประจุไฟฟ้า

 

           เครื่องคอมพิวเตอร์และเครือข่ายสื่อสารข้อมูล หมายถึง คอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องประมวลผลข้อมูล ซึ่งมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ

            1. สถานีงาน (workstation)  หมายถึงคอมพิวเตอร์ที่ใช้งาน  ณ  จุดที่จัดไว้ให้ผู้ใช้มาใช้ร่วมกันหรือจัดไว้ให้ผู้ใช้มาใช้ร่วมกัน  หรือจัดไว้ที่โต๊ะทำงานของผู้ใช้แต่ละคน  บางทีเรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล  ( Personal Computer หรือเรียกย่อๆว่า PC )  หมายถึงคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้ใช้ส่วนตัว  มีหลายแบบ  เช่น  คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ  (Desktop Computer) ที่มีจอแสงคล้ายโทรทัศน์และเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใกล้เคียงกับหนังสือสามารถนำติดตัวไปใช้ที่ใดก็ได้ เรียกว่า คอมพิวเตอร์โน๊ตบุค  (Notebook Computer)

 

             2. เครื่องบริการ  (Server) เ ป็นเครื่องขนาดใหญ่ที่ใช้ร่วมกันหลายคนเป็นเครื่องที่ใช้เก็บฐานข้อมูลหรือโปรแกรมสำเร็จประยุกต์  (Application package) จำนวนมากที่สามารถใช้ร่วมกันโดยการสั่งงานด้วยคอมพิวเตอร์  เครื่องบริการจะมีโปรแกรมควบคุมการทำงานซึ่งเรียกว่า ระบบปฏิบัติการเครือข่าย  ที่มีระบบการทำงานและชื่อเครื่องหมายการค้าแตกต่างกัน  ที่นิยมกันมากในขณะนี้ได้แก่ Linux Server, UNIX server, Windows NT server, Windows 2000 Server

 

          เครือข่ายสื่อสารข้อมูล  คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งใช้เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องกันให้สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันหรือแลกเปลี่ยนกันได้ โดยใช้สายสื่อสารข้อมูลที่ทำจากทองแดงหรือเส้นใยแก้วนำแสง นิยมแบ่งเครือข่ายตามขนาดพื้นที่และจำนวนเครื่องที่ใช้งาน  ได้แก่

 

             1. แลน  (LAN = Local Area Network)  คือเครือข่ายบริเวณเฉพาะที่  จำกัดเขตเฉพาะภายในบริเวณอาคารหรือกลุ่มอาคารที่อยู่ใกล้กัน เนื่องจากข้อจำกัดของตัวกลางที่ใช้ส่งข้อมูล เช่น ภายในรั้วโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย  เป็นต้น

 

           2.  แวน  (WAN = Wide Area Network)   คือเครือข่ายบริเวณกว้าง  ระยะทางมากกว่า 10 กิโลเมตรขึ้นไปจนมากกว่าหลายพันกิโลเมตร  ปกติเชื่อมโยงด้วยระบบสื่อสารสาธารณะ  เช่น  สายโทรศัพท์ เครือข่ายเส้นใยแก้วนำแสง หรือเครือข่ายสัญญาณดาวเทียม เป็นต้น

 

          3. อินเทอร์เน็ต  (Internet)  คือเครือข่ายขนาดใหญ่  ประกอบด้วยเครือข่ายแวนจำนวนมาก ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว้างไกลทั่วโลก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น